สำหรับนักวิทยุสมัครเล่นขั้นต้
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้
สายอากาศ Doublet
เป็นสายอากาศแบบ half wave dipole ที่ทำงานหลายความถี่ (Multiband) ได้ แต่จะต้องใช้งานร่วมกับเครื่องปรับอิมพิแดนซ์ของสายอากาศ (ATU) โดยพื้นฐานแล้วสายอากาศแบบ Doublet คือสายอากาศแบบไดโพลครึ่งคลื่น (half wave dipole) ที่มีความยาวเหมาะสม (คือเป็นครึ่งความยาวคลื่น) ของความถี่ต่ำสุดค่าหนึ่ง และสามารถใช้งานได้ที่ความถี่สูงกว่าความถี่ต่ำสุดนั้น เช่น ถ้าเราตัดยาว 468/7=66.85 ฟุต (ความยาวครึ่งคลื่นของความถี่ 7MHz) สายอากาศ Doublet นี้ก็จะใช้ได้ที่ความถี่ 7MHz และสูงกว่า เป็นต้น
ภาพที่ 1 ความต้านทานจำเพาะ (Z0) ของ
สายนำสัญญาณแบบ ladder line ขึ้นกับ
สัดส่วนระหว่างขนาดตัวนำกับระยะห่างของมัน
แทนที่จะใช้สายนำสัญญาณแบบแกนร่วม (Coaxial Cable) ที่เราคุ้นเคยในการต่อจากจุดป้อนตรงกลางของสายอากาศไดโพลแบบครึ่งคลื่นออกมา เราจะต่อจุด feeder ตรงกลางของไดโพลนี้ด้วยสายนำสัญญาณแบบ ladder line ซึ่งมี characteristic impedance (Z0) ขึ้นอยู่กับสัดส่วนระหว่างความห่างของตัวนำที่ขนานกันอยู่ทั้งสองและขนาดของเส้นลวดตัวนำนั้น (ดูภาพที่ 1) โดยทั่วไปจะมี Z0 ค่อนข้างสูงเช่น 300 หรือ 450 Ω สายนำสัญญาณนี้จะยาวเท่าไรก็ได้ เพียงแต่ต้องระวังไม่ให้ตัวมันทำตัวเป็นหม้อแปลง (คือเป็น transmission line transformer) และแปลงอิมพิแดนซ์ให้สูงหรือต่ำมากผิดปกติไปกว่าที่ ATU จะทำงานได้
ทำไมต้องใช้ ladder line
ประเด็นนี้น่าสนใจมาก เพราะในเมื่อเรามีสายนำสัญญาณแบบแกนร่วมอยู่เยอะแยะ ทำไมต้องพยายามหาของแปลกมาใช้งานกันด้วย (ไม่สนุกเท่าไร เพราะหาไม่ง่ายนักด้วย) ดังนั้นมันย่อมมีเหตุผลที่ดีซ่อนอยู่ คือ
- ladder line มี loss ต่ำมาก (ดูภาพที่ 2) เนื่องจากตัวนำทั้งสองอยู่ห่างกัน ฉนวนระหว่างตัวนำสองด้านเป็นอากาศ ทำให้มีการสูญเสียต่ำจากความต้านทานของฉนวนระหว่างตัวนำทั้งสอง ซึ่งต่างจากสายนำสัญญาณแบบแกนร่วมที่ตัวนำทั้งสองถูกคั่นด้วยฉนวนประเภทพลาสติก (Polyethylene) บ้างหรือโฟมบ้าง (บางแบบเท่านั้นที่มีฉนวนเป็นอากาศแต่ก็แพงมาก)
- การใช้งานสายอากาศไดโพลที่ถูกตัดไว้สำหรับความถี่ต่ำสุด (ในตัวอย่าง ที่ยาว 66.85 ฟุตคือสำหรับ 7MHz) กับความถี่อื่นที่สูงขึ้น จะทำให้อิมพิแดนซ์ของจุดป้อนเปลี่ยนไปได้มาก จากประมาณ 73 Ω ที่ 7MHz ไปเป็นหลายพันโอห์มที่ความถี่สูงขึ้น
- การต่อ ladder line เข้ากับตรงกลางของไดโพลทำให้ค่า VSWR ในสาย ladder line มีค่าสูงแต่มักไม่เกิน 6:1 (โดยประมาณ) ที่ทุกๆ ความถี่ที่เราต้องการใช้'งานสายอากาศนั้น เพราะความต้านทานจำเพาะ (Z0) ของสายนำสัญญาณแบบ ladder line ที่นำไปหารคือ 450 Ω ถ้าเราทำแบบเดียวกันนี้โดยใช้สายนำสัญญาณแบบ Coaxial 50 Ω ต่อออกจากจุดป้อนตรงกลางของไดโพล จะทำให้ VSWR เปลี่ยนแปลงไปตามความถี่อย่างมาก (Z0 ของสายนำสัญญาณแบบ coaxial เป็น 50 Ω เมื่อหารกับอิมพิแดนซ์หลายพันโอห์มที่บางความถี่แล้วจะเป็น VSWR ที่สูงมากเช่น 30:1 หรืออาจจะสูงกว่า)
ภาพที่ 2 เปรียบเทียบการสูญเสียในสายนำสัญญาณ
แบบต่างๆ จะเห็นว่า ladder line (หรือ open
wire line) มีการสูญเสียต่ำมาก
จากข้อ 2 และ 3 ถ้าเราใช้สายนำสัญญาณแบบ coaxial ต่อเข้ากับไดโพล นอกจากตัวมันเองจะมีการสูญเสีย (loss) มากกว่าสายนำสัญญาณแบบ ladder line แล้ว การมี VSWR ที่สูงมาก (กว่าการใช้สายนำสัญญาณแบบ ladder line ไปต่อ) จะทำให้เกิด "การสูญเสียเพิ่มเติมเนื่องจากการมี standing wave สูงในสายนำสัญญาณ" เพิ่มขึ้นมากมายกว่าการใช้ ladder line ดูภาพที่ 3
ภาพที่ 3 แสดงการสูญเสียเพิ่มขึ้นจากการไม่แมทช์
ในสายนำสัญญาณที่เราใช้ นอกจากมีการสูญเสีย
ด้วยตัวเองแล้ว เมื่อเกิดการไม่แมทช์จะมีการสูญเสีย
เพิ่มเป็นพิเศษเข้ามาอีก
ในสายนำสัญญาณที่เราใช้ นอกจากมีการสูญเสีย
ด้วยตัวเองแล้ว เมื่อเกิดการไม่แมทช์จะมีการสูญเสีย
เพิ่มเป็นพิเศษเข้ามาอีก
การสูญเสียเพิ่มเติมจาก high VSWR สามารถคำนวณได้ หรือดูจากแผนภาพในภาพที่ 3 หรือจะใช้บริการเว็บไซต์ช่วยคำนวณได้ <คลิก>
ทำให้สุดท้ายแล้วเราได้ลักษณะของสายอากาศแบบ doublet เป็นตามภาพที่ 4
ภาพที่ 4 โครงสร้างและการใช้งาน
ของสายอากาศแบบ Doublet
โดยสรุปคือ
- ข้อดีของสายอากาศ doublet เป็นสายอากาศที่สามารถทำงานได้หลายย่านความถี่ (multiband) และมีพื้นฐานเป็นสายอากาศไดโพลแบบครึ่งคลื่น คำนวณโดยใช้ความถี่ต่ำสุดที่ต้องการให้สายอากาศใช้งานได้ โดยความยาวรวม L (เมตร) = 300/ความถี่ (MHz) หรือ L (ฟุต) = 468/ความถี่ (MHz) อย่างไรก็ตาม ความยาวนี้ไม่ต้องแม่นยำมากนักก็ได้
- เหตุที่เราใช้ความถี่ต่ำกว่าความถี่ต่ำสุดที่ตัดไดโพลครึ่งคลื่นไว้ไม่ได้ ก็เพราะเมื่อเราใช้สายอากาศไดโพลที่ความถี่ต่ำเกินไป ไดโพลจะสั้นมากที่ความถี่ต่ำนั้น สายอากาศไดโพลที่สั้นมากเกินไปจะมีอิมพิแดนซ์ที่จุดป้อนต่ำมาก เมื่อนำ ladder line มาต่อออกไป ladder line ที่มี Z0 สูงจะทำตัวเป็นหม้อแปลง แปลงอิมพิแดนซ์ให้สูงมากเกินกว่าที่ ATU จะจูนลงได้
- เราใช้ ladder line ต่อจากจุดป้อนตรงกลาง เพราะนอกจากมี matched loss ต่ำแล้ว การที่มันมีความต้านทานจำเพาะ (Z0) สูง ทำให้ VSWR บนตัวสายนำสัญญาณแบบ ladder line ตลอดทุกย่านการทำงานมีค่ายอมรับได้ (ไม่เกิน 6:1)
- เมื่อ VSWR บนตัวมันตลอดทุกย่านการทำงาน มีค่าเพียงไม่เกิน 6:1 ทำให้มีการสูญเสียเพิ่มเติมเนื่องจากการมี standing wave สูงในสายนำสัญญาณน้อยไปด้วย
- ต้องใช้ บาลัน (balanced 4:1 unbalanced) เพื่อแปลงอิมพิแดนซ์สูงๆ ที่อีกปลายด้านหนึ่งของสายนำสัญญาณ ladder line ก่อนต่อเข้าจูนเนอร์
- ต้องใช้จูนเนอร์หรือ ATU ปรับอิมพิแดนซ์ให้ใกล้เคียง 50 Ω ด้วย
- การเดินสาย ladder line ต้องระวัง ให้ห่างบรรดาโลหะทั้งหลาย
- ในการใช้งานจริง การปรับ ATU ไม่ใช่เรื่องสะดวกมากนัก ยกเว้นการใช้ Automatic Antenna Tuner ที่สามารถปรับให้เราได้เอง จะสะดวกมากขึ้น
QRU 73 de HS0DJU (จิตรยุทธ จุณณะภาต)