เพื่อนนักวิทยุสมัครเล่นหลายท่านคงเคยได้ยินชื่อของอุปกรณ์วิทยุสื่อสารผ่านหูมาหลายชนิด และหนึ่งในนั้นน่าจะเป็นคำว่า "บาลัน" (Balun) ซึ่งโดยรวมแล้วมีหน้าที่ไว้เชื่อมต่อระหว่างระบบแบบสมดุล (Balanced) กับระบบแบบไม่สมดุล (Unbalanced) เข้าด้วยกัน แต่ยังมีรายละเอียดไปอีกว่าเป็นแบบ Voltage Balun หรือ Current Balun ด้วย ซึ่งบาลันทั้งสองอย่างนี้ไม่สามารถทดแทนกันได้โดยสมบูรณ์และมีการทำงานคนละหลักการกัน
อาจจะเพราะวางในพื้นที่ที่สองด้าน
ของสายอากาศไม่เหมือนกัน จะเกิด
กระแสส่วนต่าง I3 ขึ้น ซึ่งเรียกว่า
เท่ากันแต่ทิศทางตรงข้ามกันเสมอ
- คลื่นที่อยู่ "ด้านใน" ของสาย coaxial เป็น TEM (Transverse ElectroMagnetic wave หรือทั้งเส้นแรงสนามไฟฟ้าและแม่เหล็กจะตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของสนามไฟฟ้าและแม่เหล็กนั้นเสมอ) คลื่นด้านในของสาย coaxial นี้เกิดจากกระแสไฟฟ้าความถี่สูงแบบ differential mode เป็นส่วนที่เราต้องการเราใช้ป้อนพลังงานให้กับสายอากาศ (หรือโหลดอื่นๆ)
- คลื่นด้านในของสาย coaxial นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับกระแสโหมดร่วมและ "คลื่นที่ผิวด้านนอก" (outer- surface waves) ที่เกิดจากกระแสโหมดร่วมที่ไหลอยู่ที่ผิวด้านนอกของสาย coaxial คลื่น outer- surface waves นี้อาจจะมีโหมดหลักเป็น Quasi-TM ผสมกับโหมดอื่นๆ (คลื่นโหมด TM คือ Transverse Magnetic wave เส้นแรงแม่เหล็กจะตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นเสมอ ส่วนเส้นแรงไฟฟ้านั้นอาจจะส่วนที่เบนอยู่ในทิศที่คลื่นเคลื่อนที่ได้)
- ด้วยความไม่สมดุลที่เกิดเมื่อต่อสายนำสัญญาณเข้ากับสายอากาศ (หรือโหลดอื่นที่อาจจะสร้างปัญหา) จึงอาจมีกระแสโหมดร่วม (common mode current) ไหลบนผิวด้านนอกของชีลด์ของสาย Coaxial ได้ กระแสโหมดร่วมนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ มันรบกวนและสร้างปัญหาให้เรา
- ในบริเวณใกล้ๆ ผิวโลหะด้านนอกของสาย coaxial ที่กระแสโหมดร่วมที่ไหลจะมีคลื่นที่ผิวด้านนอก (outer-surface waves) อยู่ แต่คลื่นนี้ไม่ใช่ TEM เพราะคลื่น TEM ต้องการตัวนำสองตัวและมีเส้นทางครบวงจร (return path) ถูกต้อง แต่บนผิวด้านนอกของสาย coaxial มีตัวนำเดียว จึงไม่สามารถเกิด TEM ได้
- ถ้าเราไม่ทำอะไรกับ common mode current ผิวด้านนอกของสาย coaxial จะทำตัวเป็น "สายอากาศ" ไปด้วย แล้วส่งคลื่นรบกวนออกมา (ไม่นับที่ว่ามันทำให้กระแสที่โลหะของสายอากาศผิดไปจากการออกแบบ)
- แม้เราจะสวม sleeve หรือท่อโลหะครอบสาย coaxial ไว้บางส่วน คลื่นที่ผิวด้านนอก (outer-surface waves) ที่เกิดจากกระแสโหมดร่วมในบริเวณที่ sleeve ไม่ได้ครอบคลุมก็ยังไม่ใช่ TEM
จะทำให้เกิด outer-surface wave และ
แพร่กระจายออกไปรบกวนคลื่นจาก
สายอากาศได้
- เป็นปลอกโลหะ (sleeve) ความยาวประมาณ ¼λ สวมเข้ากับสายนำสัญญาณ
- ด้านหนึ่งของ sleeve ถูกต่อเข้ากับส่วนชีลด์ (ลัดวงจร, short) ของสายนำสัญญาณแบบ coaxial
- ส่วนอีกด้านหนึ่งปล่อยไว้ตามปกติ (เปิดวงจร, open)
- สิ่งที่เราต้องสนใจไม่ใช่เพียงกระแสโหมดร่วมบนผิวด้านนอกของสาย coaxial เท่านั้น แต่เราสนใจคลื่นที่ผิวด้านนอก (outer-surface waves) ที่เกิดจากกระแสโหมดร่วมด้วย
- ถ้าเรากำจัดอย่างหนึ่งได้ (เช่นกำจัดคลื่นที่ผิวด้านนอก) เราก็จะกำจัดของอีกอย่างหนึ่งได้ด้วย (คือ กระแสโหมดร่วม) และกลับกันก็เช่นเดียวกัน
- สายนำสัญญาณส่วนที่มี sleeve หรือปลอกโลหะครอบอยู่ จะกลายเป็นสายนำสัญญาณส่วนเพิ่มที่มีโลหะสองชื้นคือผิวด้านนอกของชีลด์และผิวด้านในของ sleeve และพร้อมทำงานกับคลื่นโหมด TEM
- สายนำสัญญาณส่วนเพิ่มนี้จะสร้างกำแพงอิมพิแดนซ์ (impedance wall) จากการ mismatch ให้กับคลื่น outer-surface waves ให้สะท้อนกลับจากคุณสมบัติร่วมกันระหว่างการเปิด-ลัดวงจรและคุณสมบัติของสายนำสัญญาณที่ยาว λ/4
VF2 = c / √(εr(effective))
หลักในบริเวณที่ไม่ได้สวมปลอกโลหะ
ทำตัวเป็นสายนำสัญญาณ#1 และใน
บริเวณที่สวมปลอกโลหะจะทำตัวเป็น
สายนำสัญญาณ#2 (a) เมื่อคลื่น (สีชมพู)
เดินทางจากสายนำสัญญาณ#1
มาถึงจุดลัดวงจรก่อนเข้าสายนำ
สัญญาณ#2 จะสะท้อนกลับ
และ (b) เมื่อคลื่นเดินทางจากสายนำ
สัญญาณ#1 มาถึงจุดเปิดวงจรก่อนเข้า
สายนำสัญญาณ#2 ก็จะสะท้อนกลับด้วย
- คลื่นที่ผิวด้านนอก (outer-surface waves) สะท้อนเมื่อเดินทางมาถึงจุด short (0 Ω) หรือ open (∞ Ω)
- บริเวณที่ sleeve ครอบสายนำสัญญาณอยู่นั้น ผิวด้านนอกของชีลด์และผิวด้านในของ sleeve ทำตัวเป็นสายนำสัญญาณ#2 ที่พร้อมสำหรับโหมด TEM ดังนั้น อิมพิแดนซ์ที่ปรากฏ (Zin) ที่ระยะ ℓ ห่างจาก ZL จึงเป็น
แทนลงในสมการบน จะได้สมการการแปลงอิมพิแดนซ์ของสายนำสัญญาณที่ยาว ¼λ ที่คุ้นเคยคือ
- ถึงแม้คลื่นจะทะลุเข้าไปใน สายนำสัญญาณ#2 ได้ แต่ด้วยผลของ ¼λ stub ทำให้คลื่นเดินทางต่อไม่ได้ หรือได้ยากมาก
- การวาง sleeve ยาว λ/4 จาก short จะเกิดผลลัพธ์ดังนี้
- เมื่อคลื่นเดินทางมาเจอ short → คลื่นสะท้อน
- เมื่อคลื่นเดินทางมาเจอ open → คลื่นสะท้อน
- ที่ระยะ λ/4 จาก short → จะเห็นความต้านทานสูงมาก
- ที่ระยะ λ/4 จาก open → จะเห็นความต้านทานต่ำมาก
- ถึงแม้คลื่นจะทะลุเข้าไปในสายนำสัญญาณ#2 ได้ แต่คลื่นจะไม่สามารถเดินทางผ่าน sleeve ไปได้ง่ายหรือไกลนัก
- เมื่อคลื่นส่วนใหญ่ถูกหยุด กระแสโหมดร่วม (Common mode current, Ic) ส่วนใหญ่ก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยนั่นเอง
เมื่อคลื่นที่ผิวด้านนอก (outer-surface
waves) จากกระแส Ic เดินทางจากด้านบน
ถึงจุด "Open" มันจะสะท้อนกลับ
¼λ ยังมีจุดลัดวงจร ที่ทำให้ด้านบนเห็น
อิมพิแดนซ์เป็น "Open" อีกครั้งด้วย
- เมื่อคลื่นที่ผิวด้านนอกเดินทางมาในทิศที่ถึงด้าน open ก่อน ก็จะสะท้อนกลับ แต่เท่านั้นยังไม่พอ ที่ระยะ λ/4 ห่างออกไปยังเป็น short ซึ่งทำให้เห็นเป็น open เสริมกันเข้าไป ทำให้คลื่นสะท้อนกลับเกือบทั้งหมด (รูปที่ 5)
- เมื่อคลื่นที่ผิวด้านนอกเดินทางมาในทิศที่ถึงด้าน short ก่อน ก็จะสะท้อนกลับเช่นกัน และที่ระยะ λ/4 ห่างออกไปยังเป็น open ซึ่งทำให้เห็นเป็น short เสริมกันเข้าไปอีกชั้น ทำให้คลื่นสะท้อนกลับเกือบทั้งหมด (รูปที่ 6)
- ผลคือคลื่นจะเดินทางจากผิวด้านนอกของสาย coaxial เข้าไปใน sleeve ได้ยากมาก หรือถึงจะหลุดเข้าไปได้บ้างก็จะสะท้อนกลับอยู่ดี
- เมื่อคลื่นถูกหยุด กระแส common mode บนผิวด้านนอกของสาย coaxial ก็หยุดไปด้วย
ตำแหน่งลัดและเปิดวงจรของ sleeve
จะเห็นว่าคลื่นจากด้านบนเดินทางมา
เจอจุด "Short" ก็จะสะท้อนกลับไป
ซ้ำด้านล่างห่างลงมา ¼λ มีการเปิด
วงจรไว้ ทำให้ด้านบนมองเห็นเป็น
จึงป้องกันไม่ให้คลื่นเดินทาง
- เนื่องจากผลของ transmission line stub เกิดที่ทั้งสองด้าน
- ไม่ว่าคลื่นที่ผิวด้านนอก (outer-surface waves) จะเดินทางมาจากด้านไหน มาเจอจุด short หรือจุด open ก็จะถูกสะท้อนกลับเหมือนกัน
- Sleeve balun จึงเป็นอุปกรณ์แบบ bi-directional
- Sleeve balun เป็นอุปกรณ์ passive ไม่มี loss (เอาล่ะ อาจจะมีบ้างจากสาย coaxial สั้นๆ นั่นแหละ) ไม่มี element ที่เป็น nonlinear จึงทำงานได้สองทิศทางอย่างสมบูรณ์
- รูปที่ 5 และ 6 แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าคลื่น surface wave จะเดินทางมาจากทิศไหน sleeve ก็จะหยุดคลื่นไว้ได้ (ทำให้กระแสโหมดร่วม หยุดไปด้วย)
- ไม่ใช่ความยาวที่คำนวณจาก dielectric ภายใน coaxial (คือ velocity factor ที่เราคุ้นเคยกัน)
- ความยาว λ/4 ต้องคำนวณมาจากความเร็วของคลื่นบนสายนำสัญญาณที่ประกอบไปด้วยผิวด้านนอกของโลหะส่วนชีลด์และผิวด้านในของ sleeve (สายนำสัญญาณ#2) ซึ่งมีโลหะสองชิ้นและพร้อมจะรับคลื่นแบบ TEM ได้
- ความเร็วของคลื่่นในส่วนของ สายนำสัญญาณ#2 จึงขึ้นกับค่า Permittivity ลัพธ์ (εr(effective)) ของฉนวนระหว่างตัวนำทั้งสองของ สายนำสัญญาณ#2 นั่นคือ (1) เปลือกของสาย coaxial (2) อากาศ (3) สัดส่วนระหว่างเปลือกของสาย coaxial กับอากาศใน sleeve ว่าอะไรมากกว่ากันอย่างไร
- หลังจากคำนวณความยาว ¼λ ของ sleeve ได้ ก็ต้องปรับแต่งให้สามารถลดกระแสโหมดร่วมให้มีค่าต่ำที่สุดอีกครั้ง
- สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ Sleeve balun ทำงานดีที่ความถี่เฉพาะ คือเมื่อความยาวของมันเท่ากับ ¼λ ของความถี่ที่ใช้งาน นั่นคือ bandwidth ไม่ได้กว้างนัก
- Pawsey balun หรือ Pawsey stub หรือ coaxial stub balun
- ใช้หลักการ short–open λ/4 เช่นกัน
- ลักษณะต่างออกไปคือ
- ใช้สาย coaxial อีกเส้นหนึ่งสั้นๆ (ก็ยาว λ/4 นั่นแหละ) ขนานกับสายป้อนหลัก
- Short ปลาย stub → ที่ระยะ λ/4 แปลงเป็น → ความต้านทานสูงมากที่จุดป้อน
- คลื่น Differential mode แบบ TEM ภายใน coax ยังคงส่งสัญญาณได้ปกติ
- คลื่นที่ผิวด้านนอก (outer-surface waves) เดินทางมา ไม่ว่าจะเจอ short หรือ open ก็สะท้อนหมดเช่นกัน
- ข้อดีคือ เบา ติดตั้งง่าย ยืดหยุ่น
- หากทำ sleeve สั้นๆ สมมติว่า short ทั้งสองปลาย เมื่อคลื่นเดินทางมาถึงก็เกิดการสะท้อน แต่ก็ยังมีบางส่วนที่อาจจะเดินทางเข้าไปได้
- ถ้า sleeve ยาว λ/4 และลัดวงจรที่ด้านหนึ่ง (เช่น short ที่ด้านหนึ่ง) แล้ว open ที่อีกด้านหนึ่ง แบบนี้ คลื่นที่เดินทางเข้าไปใน sleeve จะเห็น impedance สูงมากๆ หรือต่ำมากๆ ทำให้มันหยุดเดินทาง
- สิ่งที่ปรากฏคือหากออกแบบได้ถูกต้องจะทำให้คลื่นสะท้อนกลับหมด
- กระแสโหมดร่วมหรือ common-mode อยู่บนผิวด้านนอกของ coaxial เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับกระแสและคลื่นด้านในของสายนำสัญญาณ coaxial
- คลื่นที่เกิดจากกระแสโหมดร่วมไม่ใช่ TEM แต่เป็นคลื่นที่ผิวด้านนอก (outer-surface waves) อาจจะประกอบด้วยคลื่นหลักคือ quasi-TM และโหมดอื่นๆ โดยเดินทางไปกับผิวโลหะด้านนอกของชีลด์
- Sleeve balun ใช้ ลัด/เปิดวงจรกับการแปลงอิมพิแดนซ์ที่ระยะ λ/4 ของสายนำสัญญาณได้ เปิด/ลัด วงจร ให้เกิดการสะท้อนเพื่อหยุดคลื่นไม่ให้เดินทางผ่าน sleeve balun ไปได้
- การสะท้อนจากการ Short/Open เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีผลจากการ Open/Short ที่ระยะ λ/4 ห่างออกมามาเสริมเข้าไปอีก
- Sleeve balun เป็น bi-directional และ passive คือทำงานได้สองทางโดยไม่สูญเสียกำลัง
- ความยาว sleeve ต้องคำนวณจากความเร็วของคลื่นในสายนำสัญญาณ#2 (เป็น TEM mode capable) ซึ่งขึ้นกับฉนวนระหว่างตัวนำทั้งสอง (ผิวนอกของชีลด์ กับ ผิวในของ sleeve) คือเปลือกของสาย coaxial และอากาศและมีอะไรมากกว่ากัน ไม่ใช่ใช้ Velocity Factor ของสายนำสัญญาณ coaxial
- Sleeve balun มี bandwidth ไม่กว้าง เมื่อความถี่เปลี่ยนไป ความยาวของมันอาจจะไม่ใช่ ¼λ แล้ว
- อีกมุมมองหนึ่งที่มองได้ก็คือ เมื่อสายนำสัญญาณ#2 พร้อมสำหรับโหมด TEM กระแสโหมดร่วมไม่สามารถทำให้คลื่นในสายนำสัญญาณ#2 เป็นโหมดระหว่างผิวนอกของชีลด์และผิวในของ sleeve ได้เพราะไม่มีกระแสที่ผิวด้านในของ sleeve ไหลในทิศตรงกันข้ามมาสร้าง boundary condition ให้ครบ โหมดที่เกิดจึงเป็นเพียงสนามแบบไม่เดินทาง (evanescent) และไม่สามารถส่งพลังงานผ่านความยาวของ sleeve ได้























